Loveliness.in.TH

ตัวเขียวๆ เขาเรียกเดอะฮัค แต่ถ้าตั๋วน่าฮัก เปิ้นเรียกตี้ฮัคได้ก่อ

10 คุณประโยชน์จากโสม พืชสมุนไพรโบราณที่ถูกบันทึกไว้ในตำรับยาแพทย์แผนจีน

10 คุณประโยชน์จากโสม พืชสมุนไพรโบราณที่ถูกบันทึกไว้ในตำรับยาแพทย์แผนจีน

10 คุณประโยชน์จากโสม พืชสมุนไพรโบราณที่ถูกบันทึกไว้ในตำรับยาแพทย์แผนจีน

หลายท่านคงจะคุ้นเคยกับโสม พืชสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอาการต่างๆ และใช้ในการบำรุงร่างกายอย่างหลากหลาย ซึ่งโสมจัดเป็นพืชสมุนไพรที่มีอยู่หลากหลายสายพันธ์ และมีความแตกต่างกันไปตามแต่สถานที่ที่เพาะปลูก มีทั้งโสมจีน โสมเกาหลี หรือโสมอเมริกา วันนี้เราจึงได้รวบรวมเอา 10 คุณประโยชน์จากโสม ซึ่งถือเป็นสมุนไพรโบราณที่ถูกบันทึกไว้ในตำรับยาแพทย์แผนจีนมาบอกกันค่ะ ตามมาดูกันดีกว่าว่าแต่ละคุณประโยชน์จะมีความน่าสนใจมากแค่ไหน

1.ลดอาการปวดประจำเดือน

นักวิจัยได้มีการคิดค้นและยืนยันแล้วว่า โสมมีฤทธิ์ช่วยปรับฮอร์โมนในผู้หญิง จึงช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และช่วยปรับฮอร์โมนสำหรับผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่วัยทองอีกด้วย

2.ลดอาการผมร่วง

เนื่องจากโสมมีส่วนช่วยบำรุงเลือด จึงทำให้ร่างกายสร้างเซลล์ PAPILLA ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเซลล์ PAPILLA คือเซลล์ที่ช่วยให้อายุของเส้นผมอยู่ได้นานขึ้น และไม่หลุดร่วงได้ง่าย อีกทั้งโสมยังช่วยทำให้เส้นผมที่ขึ้นใหม่แข็งแรง แถมยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะผมบางหรือศีรษะล้านจนเสียบุคลิกอีกเช่นกัน

3.ลดปัญหารอบดวงตา

โสมมีสาร Saponin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นเซลล์ใต้ผิวหนังรอบดวงตาให้แข็งแรง ดังนั้นจึงช่วยแก้ปัญหารอยดำหมองคล้ำใต้ดวงตาได้ดี และยังช่วยลดอาการบวมของถุงใต้ตา พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้แลดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

4.ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

โสมมีสาร Phytonutrients และสาร Anti-Oxidants ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ที่จะเข้ามาทำลายผิวจนเกิดริ้วรอย และช่วยดูแลคอลลาเจนในผิวชั้นกลางจนทำให้ผิวแลดูกระชับและเต่งตึง แถมยังช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดลอกออกไป พร้อมทั้งช่วยเผยผิวใหม่ที่สดใสมากขึ้น

5.ลดความดันโลหิตสูง

โสมมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือดและช่วยปรับสมดุลต่างๆ ในร่างกาย พร้อมทั้งช่วยปรับการหมุนเวียนของเลือดในร่างกายให้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็มีข้อพึงระวังในการใช้โสมในกลุ่มของผู้ป่วยความดันโลหิตอยู่เช่นกัน นั่นก็คือ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรกินโสมขาว ส่วนผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำควรกินโสมแดง เนื่องจากโสมทั้ง 2 ชนิดนี้ออกฤทธิ์ต่างกัน

6.ลดความเครียด

สาร Ginsenosides ในโสมจะช่วยให้ระบบประสาทส่วนกลางตื่นตัวและสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยคลายความปวดเมื่อย ซึ่งจะทำให้นอนหลับสนิทและตื่นมาไม่มีอาการงัวเงีย ที่สำคัญยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและช่วยต้านความเครียดได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในโสมยังมีสาร Adaptogens ซึ่งช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยปรับสภาวะจิตใจให้คงที่ และช่วยลดภาวะซึมเศร้าไปด้วย

7.ลดอาการภูมิแพ้

โสมมีสรรพคุณช่วยปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล ทำให้สามารถป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ต่างๆ มีร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย หรือมีอาการไอและจามบ่อยๆ ควรได้กินโสม เพราะโสมช่วยลดอาการเหล่านี้ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8.บำรุงสมอง

โสมมีสาร Ginsenosides ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของสารสื่อประสาท ทำให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทของระบบประสาทให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยปรับกระบวนการคิดและวิเคราะห์ข้อมูลให้มีความรวดเร็วได้มากยิ่งขึ้น

9.เพิ่มสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย

หลายคนต่างคุ้นหูกันดีว่าโสมเป็นยาโดปชั้นดีของเหล่าผู้ชาย เนื่องจากโสมมีสรรพคุณช่วยเพิ่มปริมาณไนตริกออกไซด์ในร่างกาย ทำให้สามารถรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายได้เป็นอย่างดี

10.ป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน

โสมเป็นสมุนไพรที่ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรตได้ช้าลง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่คอยนำน้ำตาลกลูโคสในร่างกายไปใช้งานได้มากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นให้ตับอ่อนสามารถเพิ่มการหลั่งของอินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง จึงช่วยป้องกันและรักษาโรคเบาหวานได้นั่นเอง

นอกจากคุณประโยชน์ทั้ง 10 ที่ได้จากโสมตามที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้วนั้น การกินโสมยังช่วยในการลดน้ำหนักหรือไขมันได้ดี เพราะโสมจะช่วยปรับสภาพให้ร่างกายสามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรตได้ช้าลง จึงกระตุ้นให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้งานได้มากขึ้น แถมยังช่วยลดการสะสมไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำคัญไปกว่านั้นก็คือโสมยังช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญในร่างกายให้ทำงานได้เต็มที่ ส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักอย่างเห็นผลชัดเจนเลยทีเดียว นอกจากนี้โสมยังมีสรรพคุณช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งรังไข่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งปอดได้ดี เนื่องจากสาร Ginsenosides ที่อยู่ในโสมมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์ต่างๆ ได้นั่นเอง